เทศน์เช้า

ที่พึ่ง

๑ เม.ย. ๒๕๔๔

 

ที่พึ่ง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระเป็นวันนัดของการทำบุญนะ หัวใจไม่มีที่พึ่งนะ หัวใจไม่มีที่พึ่งไม่มีที่อาศัย ว้าเหว่มาก หัวใจมีที่พึ่งที่อาศัย เหมือนคนเรามีที่พึ่งที่อาศัย ออกจากบ้านไปมีเสบียงมีบุญออกไป มันจะอุ่นใจมาก

คนอุ่นใจกับคนว้าเหว่นะ คนว้าเหว่หัวใจนี่วอกแวก หัวใจนี่ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยเลย มันจะทุกข์ขนาดไหน? แต่ทุกข์ขนาดไหนมันก็ว่าไปเพราะอะไร? เพราะมันมีร่างกายกับหัวใจใช่ไหม? หัวใจมันก็ปกปิดไว้ เพราะเวลาอยู่ในบ้านก็มีความทุกข์ เศร้าใจนะ พอออกมาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องรักษาหน้าตากัน แต่ในหัวใจจริงๆ แล้วทุกข์

แต่ถ้าคนมีบุญ เห็นไหม รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นที่พึ่งจริงๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ทำบุญทำกุศลให้หัวใจมันมีที่พึ่งไง หัวใจมันมีที่พึ่ง มีบุญกุศลเป็นที่พึ่ง มันสละออกไป

ถึงบอกเริ่มต้นเราอ่านธรรมะ อ่านกันมาแล้วทำอย่างไรจะทำอย่างนั้นได้ อ่านมาแล้วเราก็ทำอะไรไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเราอ่านไปเป็นสมบัติของคนอื่น แต่เราสร้างขึ้นมา เราก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เจดีย์ทรายมันพยายามก่อขึ้นมา มันก็เป็นเจดีย์ทรายขึ้นมา

ทาน ศีล ภาวนา มันก่อรูปก่อร่างขึ้นมาที่หัวใจไง หัวใจอยากสร้างบุญกุศล มันก็ก่อรูปก่อร่างขึ้นมาที่หัวใจ พอก่อรูปก่อร่างขึ้นมาที่หัวใจ เห็นไหม มันก็มีทาน แล้วรักษาศีล มันก็ก่อรูปก่อร่างขึ้นมาของหัวใจนั่น หัวใจเป็นหลักที่พึ่งได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พึ่งได้ๆ เพราะอย่างนี้ พึ่งได้เพราะเราก่อรูปก่อร่างขึ้นมาจากหัวใจขึ้นมาเลย มันทำไมจะสร้างไม่ได้ล่ะ?

พอสร้างขึ้นมาได้ เห็นไหม มีที่พึ่ง ที่พึ่งนะ “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง” คุ้มครองหัวใจดวงนั้นไง หัวใจดวงที่สร้างสมขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา มันจะคุ้มครองใจดวงนั้น

แต่หัวใจที่ไม่ได้สร้างขึ้นมา เห็นเวลาเขาทำบุญกุศลกัน มันมาบาดหัวใจของตัวนะ ถ้าเห็นเขาทำบุญกุศลกัน เขาไปวัดไปวากัน เราไม่ได้ไปวัดไปวา เขาไปทำไมกัน พอเขาไปทำไมกัน มันคิดมันตระหนี่อยู่แล้วนะ มันยังไปพูดถึงคนอื่นว่าคนอื่นไม่ควรไป คนอื่นไปแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา

มันทำใจของมันเอง มันทำไม่ได้ แล้วคนอื่นทำ พอคนอื่นทำมันเปรียบเทียบไง มันปกปิดใจของเราขนาดนั้นนะเรื่องของกิเลส มันเองไม่ทำ...หนึ่ง แล้วไม่ต้องการให้ทำ คนอื่นทำเพื่อมาเทียบเคียงกับใจของตัวมันเองไง ถ้าคนอื่นทำ ทำไมเขาทำ? ทำไมเราไม่ทำ? นี่มันเทียบเคียง

ถึงบอกว่าสังเกตได้ไหม ว่าเราไปทำบุญกุศลกัน จะโดนพวกที่เขาไม่ได้ไปวัดไปวา เขาจะบอกว่าพวกนี้มีปัญหา ถ้าเราบอกมีปัญหาจริงไหม? จริง... มีโรคในหัวใจ มีปัญหาทั้งหมด คนเกิดมาในโลกนี้มีความทุกข์เป็นไข้ใจตลอด ในหัวใจของตัวมันมีไข้ของหัวใจ

แต่ผู้นี้เป็นผู้ที่ฉลาดต่างหาก ผู้นี้เป็นผู้ที่ว่ารู้ว่าตัวเองมีไข้ในหัวใจ ตัวเองจะรักษาใจของตัวเอง ในเมื่อมันเป็นความทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ความสุขอยู่ที่ไหน? ความสุขอยู่ที่ในครอบครัวของเรายิ้มแย้มแจ่มใสนะ พ่อแม่ลูกเข้าหากันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส” ความสุขคือความสุขใจไง

แต่เราไม่มองตรงนั้น บางครอบครัว เห็นไหม สถานะจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เขา แต่ในครอบครัวของเขามีความสุขมาก ในครอบครัวของเขายิ้มแย้มแจ่มใสในครอบครัวของเขา อันนั้นคือบุญนะ บุญอันนั้นเกิดขึ้นมาแล้ว สมบัติปัจจัยเครื่องอยู่อาศัยได้มาจะเป็นประโยชน์มากเลย เพราะว่าในครอบครัวนั้นมีความคุยกันรู้เรื่อง มันจะได้มามันก็แบ่งปันกัน ไม่ทำให้เป็นการกดถ่วง

แต่ถ้าหัวใจมันมีความทุกข์ร้อน มีการเบียดเบียนกันอยู่แล้วนะ มันได้อะไรมา สิ่งนั้นจะเป็นโทษหมดเลย มันพอได้สิ่งนั้นมาแล้ว คนนั้นได้อย่างนี้มา คนนี้ได้ คนนั้นไม่ได้อย่างนี้ มันจะเบียดเบียนกัน

ถ้าใจเป็นสุขในหัวใจ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ใจนี้เป็นสุข ในหัวใจนี้มีความสุขในบ้านแล้ว สมบัติได้มามันก็จะเป็นความพอดี ความปลาบปลื้มของหัวใจนั้นไป”

วันนี้วันพระไง ถึงหาที่พึ่งให้ได้นะ หาที่พึ่งของเราให้ได้ ไอ้อย่างที่เราทำอยู่นี่ มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอก พระพุทธเจ้าพูดแล้วไม่มีผิดไง หนึ่งว่าไม่มีสอง คำพูดนั้นต้องถูกต้องแน่นอน

ให้ทาน ศีล ภาวนา เราก็มีทานของเราตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันไป แล้วมีทานขึ้นมาแล้วเพื่ออะไร? เพื่อเริ่มก่อร่างสร้างตัว ก่อเจดีย์ทรายในหัวใจขึ้นมา มันสร้างขึ้นมา มันสละออกไปจากใจ มันนึกได้ด้วยหัวใจ พอใจมันนึกขึ้นมามันจะเห็นภาพของมันขึ้นมา นั่นล่ะมันก่อของมันขึ้นมา พอต่อขึ้นมา เราสร้างของเราขึ้นมาเพื่อความละตระหนี่ถี่เหนียว

โรคมันเกิดจากตรงนี้ ที่ว่าโรคของใจที่มันมีตามหัวใจที่ว่าเกิดมาแล้วมีทุกข์ในหัวใจ ที่ว่าเขาไปมีปัญหา มีปัญหาตรงนี้ไง ปัญหาของเรา เรารู้ปัญหาของเรา เราแก้ปัญหาของเรา เราทุกข์ของเรา เราต้องแก้ของเรา เราสละออกไป มันมีเจดีย์ทรายขึ้นมา เวลามีปัญหาขึ้นมา เราคิดถึงตรงนี้สิ

นี่มันหลบได้ไง มันหลบจากที่ความคิด ความคิดมันคิดแต่ว่าไม่พอใจของมัน มันคิดมาเรื่อง... ความคิดอย่างนั้นมันคิดเพื่ออะไร? มันคิดแล้วมีความรุ่มร้อน เราก็คิดเรื่องบุญกุศลซะ เห็นไหม มันย้อนกลับมาที่กองเจดีย์ทรายที่ในหัวใจของเราที่เราก่อขึ้นมา นี้เจดีย์ทรายมันเป็นอามิสทาน มันเป็นเจดีย์ทราย มันโดนน้ำซัดมันก็หายไป แล้วเราทำสมาธิขึ้นมา มันก็ตั้งมั่นขึ้นมา

การทำสมาธิขึ้นมา มันไม่ใช่เจดีย์ทรายแล้วนะ ถ้าจิตนั้นสงบ พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนมีบ้านหลังหนึ่งในหัวใจนะ ถ้าใครทำสร้างใจของเราสงบขึ้นมา เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง ไม่ใช่เจดีย์ทรายแล้ว เจดีย์ทรายลมพัดมันยังแปรสภาพไปเพราะเป็นอามิส มันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ เราคิดทันไม่ทัน เวลาเราคิดถึงมัน มันก็เกิดขึ้นมา เวลาเราไปคิดถึงมัน คิดถึงบุญกุศลสิ เราจะคิดขึ้นมา มันเกิดๆ ดับๆ อยู่

แต่ถ้าเป็นบ้านตั้งมั่น ความสงบของใจ เรากำหนดพุทโธ พุทโธ ทำยากขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา มีศีลขึ้นมา ศีลเพื่อปกป้องตรงนี้ ถ้ามีศีลก็มีขอบเขต ใจมันไม่คิดออกไป อันนี้ผิดศีลนะ ผิดมโนกรรม ถ้าเราไม่ได้ทำแต่มันคิดขึ้นมา ผิดมโนกรรม พอมโนกรรมผิด อันนี้คิดผิด เห็นไหม ศีลเริ่มปกป้องตรงนั้น ใจปกติ

พอเริ่มใจปกติ ใจก็ทำความสงบของใจขึ้นมาได้ พอใจสงบขึ้นมาได้ ถ้าจิตสงบ จิตตั้งมั่น เหมือนมีบ้านหลังหนึ่ง คนเราเคยอยู่ตากแดดนะ เคยอยู่กลางทะเลทราย เคยอยู่ตามสถานะของมันที่มันไป ฝนตกแดดออกก็ต้องตากฝนไปตามนั้น กับมีบ้านหลังหนึ่งไว้ปกป้องหัวใจ มีสมาธิขึ้นมา นี่ทาน ศีล ภาวนาเกิดแล้ว

จากที่ว่าเป็นสมบัติที่ว่ามันแปรสภาพอยู่ นี่มันเริ่มตั้งมั่นขึ้นมา พอตั้งมั่นในใจ พอเริ่มตั้งมั่นขึ้นมายกขึ้นวิปัสสนา มีความสุขขึ้นมาแล้ววิปัสสนาไป ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาอันนี้ปัญญาที่ว่าเกิดจากความสงบของใจ พอความสงบของใจแล้วมันขุดคุ้ยค้นคว้าออกไป มันไม่ใช่เรา ถ้าความคิดของเรา ความคิดของโลกียะนี่เป็นความคิดเป็นเรา เราคิดอยู่ เราคิดทั้งหมดเลย พอเราคิดขึ้นมา มัคคะนี้ไม่สามัคคี มัคคะนี้มันทรงตัวไม่ได้ มัคคะนี้มีเราเข้าไปเปรียบเทียบ พอเราเข้าไปเปรียบเทียบ เรามันมีกิเลสไง ความพอใจความไม่พอใจ ความจริตนิสัย คนชอบอย่างไร โทสจริต เห็นไหม ถ้าพูดถึงแผ่เมตตา เห็นไหม ทำให้ความทุกข์ความโกรธหายไป ถ้าความโกรธหายไปมีแต่ความสุขมากเลย แล้วคนหลงล่ะ?

จริตนิสัยคนถึงไม่เหมือนกัน จริตนิสัยนี้มันก็ทำให้อันนี้คลอนแคลน ปัญญาอันนี้มันก็ไม่เที่ยงอยู่แล้ว ถ้าพูดถึงเราทำความสงบขึ้นมาเพื่อให้ปัญญาอันนี้เกิดขึ้นมา แล้วขุดคุ้ยค้นคว้าเข้าไปในหัวใจนะ ปัญญาตัวนี้ปัญญาจะแก้ทุกข์ในหัวใจ มันแก้ทุกข์ได้จริงๆ แก้ทุกข์ในหัวใจเพราะอะไร?

เพราะมันเห็นความแปรสภาพของความคิดอันนั้นไง จิตเริ่มต้นของความคิด ความคิดนี้ก็ไม่แน่นอน ทุกอย่างก็ไม่แน่นอน สิ่งที่แน่นอน เราอยู่กับความไม่แน่นอนไง สิ่งที่ไม่แน่นอนในหัวใจของเรา แต่เรายึดนะ

สิ่งที่ว่าเป็นไตรลักษณ์ข้างนอก เราเห็นหมดนะ แม้แต่เหล็กไหลพวกเพชรนิลจินดา มันแปรสภาพ เราก็เห็นเราก็เข้าใจ แต่สิ่งนั้นมันเป็นวัตถุที่มันแปรสภาพตามกาลเวลา แต่สิ่งที่แปรสภาพนะ แปรสภาพเร็วมากในหัวใจ อารมณ์ความคิดเรามันจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วมันแปรสภาพเร็วมาก แต่เรามองไม่เห็น

แล้วสิ่งที่เป็นนามธรรมกลับคมแข็ง กลับเข้มแข็ง กลับคงทนกว่านะ เพราะเรื่องแต่อดีตชาติ เรื่องแต่อดีตเราคิดขึ้นมาสิ พอคิดขึ้นมาเดี๋ยวนั้นก็มีเดี๋ยวนั้น เวลาผูกโกรธ เวลาความโกรธความฝังใจ ไปขุดคุ้ยขึ้นมาสิ มันสดๆ มันสดๆ นะ หลวงปู่หลุยพูดไว้น่าฟังมาก หลวงปู่หลุยบอกว่า

“อารมณ์ของเรานี่เหมือนกับเสลด เหมือนกับน้ำเสลด เหมือนกับเราขากเสลดทิ้งไป แล้วเราไปดื่มกินอีก เราไปเลียเสลดของเราอย่างเก่า”

ความคิดที่มันโกรธ มันผูกโกรธ เห็นไหม มันเหมือนกับสิ่งที่เราไม่พอใจ เราขากทิ้งไป แล้วเราไปเลียกินอีกทำไม? พอเลียกินขึ้นมา อารมณ์มันก็เกิดขึ้นมา มันก็เกิดทุกข์ขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม นี่เราว่าเราเป็นเสลด เราเห็นแล้วเราก็ขยะแขยง แต่อารมณ์ของใจมันก็ให้ความทุกข์กับใจ ทำไมเราไม่เห็นมันเป็นเสลดล่ะ?

เพราะเราไม่เห็นมันเป็นเสลด เราถึงไปเอามันมากิน ถึงว่าไปเลียกินขึ้นมา เลียกินก็ไปอุ่นขึ้นมาไง อุ่นขึ้นมาให้มันมีความคิดขึ้นมา แล้วใจก็เสพเข้าไป ใจมันเสพแล้วมันเกิดอารมณ์ขึ้นมาเป็นความทุกข์ขึ้นมา เราไม่รู้ตัว ปัญญาตัวนี้มันจะมาเห็น ภาวนามยปัญญามันจะเห็นตรงนี้ไง เห็นความเร็วของความที่มันสืบต่อกัน ใจกับความคิดนี่เป็นอันเดียวกันแล้วมันแว็บขึ้นมาในหัวใจ

พอมันเกิดขึ้นแว็บ นั่นแน่... เห็นไหมมาอีกแล้ว แล้วมันก็เอาความทุกข์มาให้ แล้วเราทำไมต้องทำอย่างนั้นอีก?

ภาวนามยปัญญาจะเริ่มเห็นอย่างนั้น แล้วจับต้องสิ่งนั้น ทำไมเอ็งอยู่ในตัวเองไม่ได้? ทำไมเอ็งต้องไปเอาสิ่งที่อารมณ์ที่เก่าๆ มาคิดอยู่ตลอดเวลา? เอ็งทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ? เหตุเพราะเป็นอะไร? ก็พิจารณาจิต พิจารณาความคิด พอมันเป็นสัญญา มันเป็นสังขารปรุงแต่ง มันคิดขึ้นมา มันก็แยกตัวนี้ออกไป ภาวนามยปัญญาจะแยกออกไป

พอแยกออกไปมันแปรสลาย มันสร้างตัวเองขึ้นมาไม่ได้ มันก็ไปเลียกินกับสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้ามันสร้างตัวเองขึ้นมาได้ มันก็ไปเอาอารมณ์อันเดิมๆ มาคิดอีก เห็นไหม ปัญญามันแยกตรงนี้ออกไป แยกออกไป พอแยกออกไปเรื่อยๆ ความแยกออกไป...หนึ่ง พอเห็นเป็นไตรลักษณ์...หนึ่ง ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นจากตรงนี้ แล้วมันจะปล่อยสภาวะ มันจะปล่อยเพราะอะไร? เพราะมันเห็นโทษ เห็นความแปรสภาพ เห็นความสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เห็นสิ่งที่พึ่งไม่ได้ไง

เรานั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาดึงเก้าอี้ไป เราต้องตกจากเก้าอี้ เห็นไหม ไอ้นี่ภวาสวะ ภพของใจที่มันอาศัยสถานะของใจแล้วคิดออกไป มันโดนทำลายออกไป แล้วอารมณ์ตั้งอยู่บนสภาวะอันนี้ สภาวะนั้นโดนทำลาย ภวาสวะคือภพ ภพของใจสำคัญกว่าภพทุกอย่างนะ

พอภวาสวะนี้โดนทำลายไป เหมือนเก้าอี้ที่มันจะรองรับร่างกายเราโดนดึงออกไป เราทำลายภวาสวะอันนี้ออก มันตั้งเป็นรูปขึ้นมาไม่ได้ มันจะไปเอาอะไรมาดื่มกิน มันจะไปรับรู้สิ่งใด มันต้องปล่อยสภาวะ มันตั้งตัวเองไม่ได้ มันเห็นเป็นไตรลักษณ์ มันก็ปล่อยนามธรรม นามธรรมปล่อยนามธรรมอีกชั้นหนึ่ง นี่ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นอย่างนั้น

ถึงว่าทาน ศีล ภาวนา ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก ฟังธรรมแล้วย้อนกลับมาที่ใจเรา ดูใจเราดูทำอะไรแล้วสร้างขึ้นมากับเรา

นี่มันถึงว่าสร้างขึ้นมาแล้วมันเป็นสมบัติส่วนตน สมบัติของใครสมบัติของมัน ทุกข์ของใครทุกข์ของคนนั้น พ่อแม่ลูกรักกันมาก พ่อแม่ลูกเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เห็นไหม ยังว่าเจ็บแทนกัน ไข้แทนกันไม่ได้เลย ทุกข์ในหัวใจก็เหมือนกัน มันแล้วแต่เราสอนได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามสอนพวกเราอยู่ ชี้นำให้เราแนวทางไป เห็นไหม แล้วเราพยายามก้าวเดินตามนั้นไป แล้วมันจะออกจากตรงนั้นได้ เป็นปัจจัตตัง รู้จำเพาะตน แก้กิเลสในหัวใจของแต่ละบุคคล ต่างคนต่างแก้ ต่างคนต่างออกไป แล้วเป็นสมบัติของตน ตนนั้นมีความสุข ตนนั้นเข้าใจเรื่องนั้นก่อน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนพึ่งตนเองได้ ตนยืนตัวเองได้ ตนก็เป็นที่พึ่งของคนอื่น

เห็นไหม พ่อแม่ลูก ถ้าคนใดคนหนึ่งทำได้ พูดออกมา สอนออกมา จะได้พ่อแม่นะ ลูกนี่เปิดตาพ่อแม่ได้นะ เปิดตาให้เข้าใจเรื่องธรรม เราให้สมบัติในโลกนี้ เราพยายามให้สมบัติในโลกนี้ เราอุปัฏฐากโลกนี้ก็ได้แค่โลกนี้ ถ้าเราเปิดตาธรรมนะ ตาธรรมของพ่อแม่ได้ มันไม่แต่เฉพาะโลกนี้ โลกต่อๆ ไป จิตดวงนั้นมันสว่างขึ้นมา จิตดวงนั้นเสวยสุขขึ้นไป จิตดวงนั้นไปเกิดในที่ดี จิตดวงนั้นไป มันวนไปมันมีสมบัติใช้ไปทุกๆ โลก สมบัติอันนี้ถึงจำเป็นมาก

ถึงเป็นบุญกุศลมากถ้าเราสร้างสถานะของใจเราขึ้นมา แล้วเรายังเปิดตาพ่อแม่ได้ เปิดตาผู้ที่อยู่ของเราได้ อันนั้นเป็นบุญกุศลของเรา นี่พึ่งตัวเองพึ่งได้แล้วหนึ่ง สองยังให้คนอื่นพึ่งได้อีกหนึ่ง เห็นไหม

สุขอันนี้ถึงเป็นสุขที่ว่าประจำหัวใจ สิ่งที่เป็นนามธรรม แต่เวลารู้แล้วรู้ตลอดไป แล้วไม่มีวันเสื่อมสภาพ เป็นอย่างนั้นตลอดไป แต่อย่างอื่นที่ว่าเสื่อมสภาพๆ มันพึ่งไม่ได้ สิ่งนี้ไม่เสื่อมสภาพ เกิดขึ้นมาจากการเห็นความเสื่อมสภาพ จนมันปล่อยความเสื่อมสภาพนั้นจนคงที่ของมัน เอวัง